วิจัย
Improving
reading skills using poem to teach English
ผลการใช้โคลงในการส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ
ชั้นประถมศึกษาปีที่6
บทนำ
ภูมิหลัง
ทักษะการอ่านเป็นทักษะพื้นฐานในการเรียนภาษาที่สอง
การอ่านนั้นถูกใช้มากในอันดับที่สามรองจากการพูดและการฟัง
การอ่านเป็นอีกหนึ่งทักษะที่มีความสำคัญต่อการประสบความสำเร็จของเด็กๆ
การอ่านในห้องเรียนถือเป็นเครื่องมือในการประเมินโดยมีครูเป็นตัวช่วยในการกำหนดระดับการอ่านและความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียน
(Ward. 2004
: 1) การอ่านเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโลกในปัจจุบันและอนาคต ความสามารถในการอ่านเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า
ซึ่งมีความสำคัญ ต่อบุคคล สังคมและความเจริญทางเศรษฐกิจ ดังนั้นครูที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านการอ่านจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนเพื่อให้การเรียนการสอนมีคุณภาพ
ซึ่งมีความสำคัญมากต่อการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนให้กลายเป็นผู้อ่านที่มีคุณภาพและประสบความสำเร็จในอนาคต และการอ่านเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน
ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการถอดความ การวาดภาพตามจินตนาการ การใช้ภาษา
และกลยุทธ์ในการให้ความหมายให้เกิดประสิทธิภาพ
การอ่านจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับทักษะความสามารถของบุคคล คือ
การแสวงหาประสบการณ์การเรียนรู้ทางภาษาของแต่ละบุคคล (The reading faculty
of the California State University.
2007 : 1-2)
โคลงเป็นวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการถอดความทางภาษา
เมื่อเด็กอ่านโคลงแล้วสามารถทำความเข้าใจกับความหมายของคำศัพท์
ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายมากสำหรับเด็กสามารถนำไปใช้ในห้องเรียนได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด
ประโยชน์ของการใช้โคลงในห้องเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้เน้นไปที่การอ่านออกเสียงของคำศัพท์เพียงอย่างเดียว
แต่เน้นไปที่การทำความเข้าใจกับความหมายของคำศัพท์
สิ่งที่สำคัญสำหรับการอ่านของเด็กๆ คือเน้นการเรียนรู้ที่มีความหลากหลาย
โดยแสดงให้เห็นว่าเด็กจะได้พัฒนาความรู้เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านโคลง
การอ่านออกเสียงจากโคลงเป็นเรื่องที่ดีมากในด้านการพัฒนาทักษะการอ่านจากแรกเริ่ม
ซึ่งต่อมา
เด็กสามารถพัฒนาทักษะการอ่านให้เร็วขึ้นและสามารถอ่านออกเสียงได้ดังฟังชัด
โดยครูจะเป็นผู้คอยชี้แนะเด็กในเรื่องของการจำแนกความแตกต่างของคำศัพท์และการจำแนกเสียงที่แตกต่างกันของคำแต่ละคำ
เมื่อครูเล่าเรื่อง เด็กๆจะนึกถึงสิ่งที่ครูเล่าให้ฟัง
พร้อมทั้งจินตนาการเป็นภาพออกมา ซึ่งหนังสือโคลงสำหรับเด็กจะมีอยู่หลายรูปแบบ
อาจมีทั้งเนื้อหาประกอบภาพ และมีเพียงเนื้อหาเพียงอย่างเดียว
แต่หนังสือโคลงไม่จำเป็นต้องมีภาพประกอบเพราะว่าเด็กจะสามารถอธิบายความหมายของโคลงนั้นๆและจินตนาการภาพเหตุการณ์ขึ้นเอง
โคลงเป็นเนื้อหาที่สร้างขึ้นมาจากคำศัพท์ ไม่ใช่การนำภาพมาเล่าเรื่อง
แต่เป็นการสร้างภาพตามจินตนาการ เด็กจะได้ฝึกแปลความหมายจากคำศัพท์โดยไม่ต้องอาศัยรูปภาพที่บอกเป็นนัยจากเนื้อเรื่อง
ทำให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์
ซึ่งเด็กๆจะสนใจในโคลงพร้อมๆกับพยายามทำความเข้าใจในความหมายของโคลงนั้นๆ (Fisher. 2000
: 3)
ครูควรจะสนับสนุนให้นักเรียนมีความกล้าแสดงออก
และครูต้องให้ความสนใจในการนำเสนอผลงานของเด็กด้วย
ซึ่งผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะหลายๆทักษะทางด้านการอ่าน
โดยให้โอกาสเด็กในการกล้าแสดงออกด้วยความสนุกสนานถือเป็นหลักสำคัญในการพัฒนาการศึกษาเกี่ยวกับสัทศาสตร์
การอ่านออกเสียง ความคล่องแคล่วในการอ่าน การศึกษาคำศัพท์ และ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโคลง ซึ่งโคลงถือเป็นรูปแบบของวรรณกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาทักษะการอ่าน
โคลงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการสอนคำศัพท์และการใช้เครื่องหมายวรรคตอน ยกตัวอย่างเช่น
ในห้องเรียนเด็กประถม ครูแนะนำโคลงบทใหม่ๆ โดยการอ่านโคลงด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด
และเว้นวรรคให้ถูกต้อง หลังจากนั้นเด็กทุกคนในชั้นเรียนอ่านออกเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน
การอ่านออกเสียงโดยพร้อมเพรียงกันช่วยกระตุ้นและสร้างความมั่นใจให้กับนักเรียน และสามารถลดความรู้สึกประหม่าในตัวเด็กได้
การอ่านประสานเสียงสามารถดำเนินการในชั้นเรียนหรือกับเด็กกลุ่มเล็กๆได้ อีกทั้งนักเรียนจะได้ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจการใช้เครื่องหมายวรรคตอนและสามารถระบุประเภทของเครื่องหมายวรรคตอนได้
ยกตัวอย่างเช่น โคลง Sick โดย Shel Silverstein
เมื่อทำความเข้าใจในการใช้เครื่องหมายวรรคตอนในโคลงแล้ว
เด็กจะสามารถอ่านโคลงได้คล่องแคล่งและเว้นวรรคได้อย่างถูกต้อง เมื่อนักเรียนได้ฝึกอ่านโคลงแล้ว
นักเรียนสามารถออกมานำเสนอและแสดงออกเกี่ยวกับโคลงอย่างเหมาะสมหน้าชั้นเรียน เป้าหมายคือเพื่อทำให้เกิดความสนุกสนานพร้อมๆกับฝึกประสบการณ์ในขณะเรียน
(Jennsimonson. 2011: website)
ดังนั้นกลุ่มผู้วิจัยจึงเห็นว่าการนำโคลง
มาเป็นเนื้อหาการสอนในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ
ทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ภาษามากขึ้นซึ่งเป็นการเปิดกว้างทางการเรียนรู้
โดยภาษาที่ใช้ จะสามารถพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ
พัฒนาการออกเสียงและการแสดงออกทางภาษาโดยใช้การอ่านออกเสียง
ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทั้งที่บ้านและโรงเรียน
เมื่อผู้เรียนไม่เข้าใจในบทเรียนที่ผ่านมา
ผู้เรียนสามารถที่จะนำกลับไปศึกษาและทำความเข้าใจในบทเรียนเดิมได้ตามความต้องการ
จากเหตุผลที่กล่าวมาจึงทำให้กลุ่มผู้วิจัยสนใจที่จะนำโคลงเข้ามาช่วยในการพัฒนาทางด้านทักษะการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6 ให้บรรลุตามความมุ่งหมายในการพัฒนาทักษะการอ่านให้ดีมากยิ่งขึ้น
ความมุ่งหมายของการวิจัย
1.
เพื่อหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้โคลง
นักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่
6 ตามเกณฑ์ 70/70
2.
เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้โคลง
นักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่
6
3.
เปรียบเทียบผลของการจัดกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษก่อนและหลังโดยใช้
โคลง
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ความสำคัญของการวิจัย
1.
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้รับการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ
โดย
ใช้โคลง
ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70
เป็นสื่อเสริมและเป็นทางเลือกในการสอนวิชาภาษาอังกฤษ
2.
เพื่อเป็นแนวทางในกระบวนการจัดการเรียนการสอนแก่ครูผู้สอนและผู้ที่มี
บทบาททางการศึกษาในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนอื่นๆ
อันเป็นการส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแก่ผู้เรียน
3.
โคลงเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษและเป็นแนวทางที่เป็น
ประโยชน์ต่อผู้วิจัย
ครูผู้สอน และผู้ที่สนใจ
เพื่อส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และตรงตามความมุ่งหมายที่ต้องการ
ขอบเขตของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง
โดยมีขอบเขตการวิจัยดังนี้
1.
ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเชียงยืน
อำเภอเชียงยืน
จังหวัดมหาสารคาม
ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2554 จำนวน 2ห้องเรียน
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวนหนึ่งห้องเรียนนักเรียนจำนวน 40 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม
(Cluster Sampling)
3. ตัวแปรที่ศึกษา
3.1 ตัวแปรอิสระ คือ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านโดยใช้โคลง
3.2 ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ
4. สมมติฐานในการวิจัย คือ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเชียงยืน จะสามารถพัฒนาประสิทธิภาพในการอ่านภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้นหลังจากใช้โคลง
เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเรียน
5. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยทั้งสิ้น 1 ภาคเรียนคือ
ปีการศึกษา 2554 เป็นเวลา 4 เดือน
เริ่มจากเดือนพฤศจิกายน- กุมภาพันธ์ 2555
6. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เลือกจากหนังสือเรียนและแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ
ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
6.1 Unit: Free
Time
Topic: Poems
มีจำนวน 1 แผนการสอนใช้เวลาทั้งหมด 2
ชั่วโมง
6.2 Unit: Weather
Topic: Climate
มีจำนวน 1 แผนการสอนใช้เวลาทั้งหมด
2 ชั่วโมง
6.3 Unit: Relationship with other people
Topic: Special day
มีจำนวน 1 แผนการสอนใช้เวลาทั้งหมด 2
ชั่วโมง
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. โคลง คือ คําประพันธ์ประเภทหนึ่ง มีจำนวนคำในวรรคสัมผัสกัน
ซึ่งโคลงในภาษาอังกฤษนั้นจะมีสัมผัสนอกและสัมผัสในซึ่งเป็นการเล่นคำ
โคลงในภาษาอังกฤษส่วนมากในหนึ่งบทจะมีอย่างน้อยสองบรรทัดหรือมากกว่าสองก็เป็นได้
โคลงจะใช้ภาษาที่สละสลวย อาจมีการใช้คำศัพท์ที่แทนความหมายของสิ่งๆหนึ่งซึ่งไม่ได้แปลความหมายตรงตัวหรืออาจมีความหมายแฝง
อีกทั้งมีการใช้คำที่คล้องจองกัน เหมาะกับการฝึกทักษะการอ่าน
โคลงที่ผู้วิจัยใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ได้แก่เรื่อง Shout , The tree in
season , New
Year Eve, Solar System.
2. ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ คือ ความสามารถในการอ่านออกเสียงโคลงภาษาอังกฤษ
การอ่านออกเสียงจะต้องมีน้ำเสียงที่ไพเราะ ชัดเจน มีการเว้นวรรคตอนถูกต้อง มีคุณลักษณะความมั่นใจในการใช้ภาษา
มีลีลาการอ่านที่น่าสนใจและน่าติดตามฟังจนจบและบอกคำศัพท์ที่ออกเสียงคล้ายกันได้
และการอ่านโคลงเพื่อความเข้าใจ ซึ่งเมื่ออ่านโคลงแล้วเด็กสามารถตอบคำถาม
เรียงลำดับโคลง
วาดภาพสื่อความหมายของโคลงหรือจะเป็นการแสดงบทบาทสมมุติเพื่อสื่อความหมายของโคลง เขียนสรุปและแต่งโคลงขึ้นใหม่ได้
2.1 ประสิทธิภาพการอ่าน หมายถึง
การหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้โคลง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70
70 ตัวแรก หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ (Process) หาได้จากการนำคะแนนที่ได้จากคะแนนที่นักเรียนทำกิจกรรมระหว่างเรียนของนักเรียนในทุก
Topic รวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ยเทียบเป็นร้อยละ 70 หรือสูงกว่า
70
70 ตัวหลัง หมายถึง
ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (Product) หาได้จากการนำ
คะแนนที่ได้
จากผลแบบทดสอบทักษะการอ่านหลังเรียนของนักเรียนทุกคนมารวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ยเทียบเป็นร้อยละ
70 หรือ สูงกว่า 70
2.2 ดัชนีประสิทธิผล หมายถึง
กิจกรรมการพัฒนาทักษะการอ่านโดยใช้โคลง หมายถึง
คะแนนที่แสดงถึงความก้าวหน้าของนักเรียน
ที่เรียนรู้ด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านโดยใช้โคลง
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
วิธีการดำเนินการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาการพัฒนาความสามารถทางด้านทักษะการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเชียงยืน
ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ประชากรกลุ่มตัวอย่าง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3. วิธีการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ประชากรกลุ่มตัวอย่าง
การวิจัยครั้งนี้
กลุ่มผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยกึ่งทดลอง โดยมีขอบเขตการวิจัยดังนี้
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร ได้แก่
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 80 คน 2 ห้องเรียน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2554 โรงเรียนบ้านเชียงยืน อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัย
คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 ปีการศึกษา
2554 จำนวน 40 คน 1 ห้องเรียน
โรงเรียนบ้านเชียงยืน อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling)
2. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
1 ภาคเรียน คือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2554 เป็นเวลา 4 เดือน เริ่มจาก เดือน
พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ 2555
3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ กลุ่มผู้วิจัยพิจารณาจากหนังสือ
เอกสารประกอบการวิจัยและคู่มือการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 2551 ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
3.1
Unit: Free Time
Topic: Poems
มีจำนวน 1 แผนการสอนใช้เวลาทั้งหมด
2 ชั่วโมง
3.2
Unit: Weather
Topic: Climate
มีจำนวน 1 แผนการสอนใช้เวลาทั้งหมด
2 ชั่วโมง
3.3 Unit: Relationship with other people
Topic: Special Day
มีจำนวน 1 แผนการสอนใช้เวลาทั้งหมด
2 ชั่วโมง
3.4 Unit: Science and Technology
Topic: Solar System
มีจำนวน 1 แผนการสอนใช้เวลาทั้งหมด
2 ชั่วโมง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
กลุ่มผู้วิจัยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้แบ่งเป็น
2 ชนิด
1. เครื่องมือที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคือ
แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการอ่าน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 4 แผน ใช้เวลา แผนละ 2 ชั่วโมง
รวม 8 ชั่วโมง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ ข้อสอบ มี 2 ชนิด คือ
2.1 ข้อสอบทดสอบทักษะการอ่านออกเสียง เป็นแบบทดสอบภาคปฏิบัติ
2.2 ข้อสอบทดสอบทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ เป็นแบบทดสอบปรนัย จำนวน 33 ข้อ อัตนัย 6 ข้อ
การสร้างหาคุณภาพของเครื่องมือ
1. การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้
มีขั้นตอนดังนี้
1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551
สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ การอ่านภาษาอังกฤษ การสอนทักษะอ่านภาษาอังกฤษ โคลง
และงานวิจัยต่างประเทศ
1.2 เลือกเนื้อหาจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ
และคำศัพท์ที่สอดคล้องกับ Unit: Free Time Topic: Poems, Unit: Weather Topic: Climate, Unit:
Relationship with other people Topic: Special day, Unit: Science and Technology
Topic: Solar System
1.3 วิเคราะห์เนื้อหาและกิจกรรมซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาตาม Unit/Topic ที่กำหนดไว้ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง
1.4 สร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้โคลงของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่
6 จำนวน 4 แผน
1.5
นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้โคลงของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6 จำนวน 4 แผน
เสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของจุดประสงค์ เนื้อหา การจัดกิจกรรม
และความครอบคลุมหลักสูตร
1.6 แก้ไข
ปรับปรุงแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้โคลง
ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา
1.7 นำแผนการสอนที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
ความครอบคลุมเนื้อหา รูปแบบและหลักการอีกครั้งหนึ่ง
1.8 นำแผนการสอนที่ผ่านการตรวจสอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาไปทดลองใช้
(Try-out) กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนบ้านเชียงยืน จำนวน 40 คน
ซึ่งมีความสามารถใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง
1.9 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อพิจารณาความถูกต้องอีกครั้ง
1.10
นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งคือ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนบ้านเชียงยืน
2. แบบทดสอบทักษะการอ่าน
2.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลทักษะการอ่าน
2.2 สร้างแบบทดสอบทักษะการอ่านที่สอดคล้องกับเนื้อหาที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
โดยสร้างแบบทดสอบการอ่านออกเสียงแบบปฏิบัติ และแบบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจแบบปรนัยจำนวน
40 ข้อ
2.3 นำแบบทดสอบทักษะการอ่านที่กลุ่มผู้วิจัยสร้างขึ้น
เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อพิจารณาความถูกต้องของเนื้อหาแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข
2.4 นำแบบทดสอบทักษะการอ่านซึ่งเป็นแบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ ไปทดลองใช้ (Try-out) กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ที่
6/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554
โรงเรียนบ้านเชียงยืน อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 40
คน หลังจากทดลองแผนการจัดการเรียนรู้เรียบร้อยแล้ว
และหาค่าความยากง่ายของแบบทดสอบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ และหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้โคลง
2.5 นำแบบทดสอบทักษะการอ่านที่หาค่าความยากง่ายได้แล้ว
นำไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งคือ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 ภาคเรียนที่
2 ปีการศึกษา 2554 โรงเรียนบ้านเชียงยืน
อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 40 คน ทั้งก่อนและหลังการทดลอง
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้
กลุ่มผู้ศึกษาค้นคว้าดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัยดังนี้
1. สอบก่อนเรียน
(Pre-Test) กับกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบทักษะการอ่านแบบปรนัย
คำถามจำนวน 40 ข้อ และแบบทดสอบทักษะการอ่านภาคปฏิบัติ
2. ดำเนินการสอนตามแบบการเรียนรู้ที่ได้จัดขึ้นกับกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน 4 แผน
แผนละ
2 ชั่วโมง
3. สอบหลังเรียน
(Post-Test) เพื่อทดสอบความเข้าใจของกลุ่มตัวอย่าง
หลังจากผ่าน
การเรียนมาแล้ว
การวิเคราะห์ข้อมูล
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ กลุ่มผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูล โดยดำเนินการจัดกระทำกับข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลตามขั้นตอน
ดังนี้
1. เพื่อหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้โคลง
ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่
6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70
2. เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้โคลง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6
3. เพื่อเปรียบเทียบทักษะอ่านก่อนเรียนและหลังเรียนในการใช้โคลง เพื่อพัฒนาความสามารถด้านทักษะการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. ค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต () และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
1.1 ค่าเฉลี่ยเลขคณิต
โดยใช้สูตร ดังนี้
เมื่อ แทน ค่าเฉลี่ย
แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม
N แทน จำนวนคนในกลุ่ม
1.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(Standard Deviation) โดยใช้สูตร
S.D.2 =
เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
X แทน คะแนนแต่ละตัว
N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม
แทน ผลรวม
2. สถิติในการหาคุณภาพเครื่องมือ
การหาค่าสถิติในการหาคุณภาพของข้อสอบการอ่านภาษาอังกฤษ
สามารถแบ่งออกเป็น
2 ชนิด ได้ดังนี้
2.1
ข้อสอบทดสอบการอ่านออกเสียง แบบทดสอบภาคปฏิบัติ
2.1.1
การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่านตามเกณฑ์ 75/75 ใช้สูตร E1/E2
ดังนี้
=
เมื่อ คือ ประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่านภาษาอังกฤษ
คือ
คะแนนรวมของแบบทดสอบทุกแบบฝึกของผู้เรียนคนที่ i
A คือ คะแนนเต็มของแบบทดสอบแต่ละแบบฝึกมารวมกัน
N คือ จำนวนผู้เรียน
=
เมื่อ คือ
ประสิทธิภาพของผลการสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ
คือ
คะแนนของผลการสอบหลังเรียนของผู้เรียนคนที่ i
B คือ คะแนนเต็มของการสอบหลังเรียน
N คือ จำนวนผู้เรียน
2.1.2 เปรียบเทียบทักษะอ่านออกเสียงก่อนและหลังเรียนในการใช้โคลง โดยใช้
สูตร
t – test Dependent
t =
t หมายถึง ค่า T-
test
N หมายถึง จำนวนนักเรียนในกลุ่มทดลอง
หมายถึง ผลรวมของผลต่างของคะแนนของนักเรียนแต่ละคน
หมายถึง ผลรวมของผลต่างของคะแนนของนักเรียนยกกำลัง
หมายถึง ผลรวมของผลต่างของคะแนนของนักเรียนทั้งหมดยกกำลัง
2.1.3 ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษภาคปฏิบัติ
โดยใช้สูตร KR 20 ของ Kuder Richardson
|
เมื่อ r แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
แทน จำนวนข้อของเครื่องมือวัด
p แทน สัดส่วนของผู้ที่ตอบได้ในข้อหนึ่ง
ๆ คือสัดส่วน
ของคนที่ตอบถูกกับคนทั้งหมด
|
q แทน สัดส่วนของคนตอบผิดในแต่ละข้อ
คือ 1 - p
|
S แทน คะแนนความแปรปรวนของเครื่องมือฉบับนั้น
2.2
ข้อสอบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ แบบทดสอบปรนัย
2.2.1 ค่าความยากง่ายของแบบทดสอบวัดความสามารถทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ
ซึ่งเป็นข้อสอบแบบปรนัย โดยใช้วิธีของ Brennam
เมื่อ
B แทน ค่าความยากง่ายของข้อสอบ
U แทน จำนวนคนทำข้อสอบข้อนั้นถูกของกลุ่มที่ผ่านเกณฑ์
L แทน จำนวนคนทำข้อสอบข้อนั้นถูกของกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์
n1 แทน จำนวนคนที่สอบผ่านเกณฑ์
n2 แทน จำนวนคนที่สอบไม่ผ่านเกณฑ์
2.2.2
ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจแบบอิงเกณฑ์โดยใช้สูตรของแฮมเบิลตันและโนวิก
ดังนี้
P0
= P11 + P22
เมื่อ P0 แทน
ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
P11 แทน
สัดส่วนของผู้เรียนที่สอบผ่านก่อน-หลังเรียนกับ
จำนวนนักเรียนทั้งหมด
P22 แทน
สัดส่วนของผู้เรียนที่สอบผ่านก่อน-หลังเรียนกับ
จำนวนนักเรียนทั้งหมด
2.2.3 การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านเพื่อความเข้าใจ
โดยใช้สูตรการหาประสิทธิภาพ E1 และ E2
ดังนี้
สูตร
1
เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ
แทน คะแนนรวมของนักเรียนทั้งหมดที่ทำแบบทดสอบระหว่างเรียน
A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบระหว่างเรียน
N แทน จำนวนนักเรียน
สูตร
2
เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ
แทน คะแนนรวมของนักเรียนทั้งหมดที่ทำแบบทดสอบหลังเรียน
B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน
N แทน จำนวนนักเรียน
2.2.4
การหาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านเพื่อความเข้าใจ
โดยใช้สูตรของ กู๊ดแมน และ ชไนส์เดอร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น